สวรรค์ชั้นยามา

สวรรค์ชั้นที่ ๓
ยามาเทวภูมิ

เทวภูมิอันดับที่ ๓ นี้ เป็นแดนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่สถิตอยู่แห่งปวงเทพยดาผู้ไม่มีความลำบาก และถึงซึ่งความสุขอันเป็นทิพย์ มีเทพผู้มเหศักดิ์ทรงนามว่าสมเด็จท้าวสุยามเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดีผู้ปกครอง เพราะฉะนั้น สรวงสวรรค์เช่นนี้ จึงมีนามว่ายามาเทวภูมิ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพอันมีท้าวสุยามเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดี

แดนแห่งความสุขคือเมืองสวรรค์ อันมีนามว่ายามาเทวภูมิ เป็นเทพนรกที่ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ขึ้นไปเบื้องบนไกลแสนไกล ภายในเทพนรกที่ว่านี้ ปรากฏว่ามีปราสาททอง เป็นปราสาทพิมานที่สถิตอยู่ ของเทพเจ้าเหล่าชาวสวรรค์ ชั้นยามาทั้งหลาย

ก็แลปราสาทวิมานเหล่านั้น ย่อมมีสภาวะสวยงามวิจิตรตระการยิ่งกว่าปราสาทวิมานในสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์มีรัตนปราการกำแพงแก้วอันรุ่งเรืองเลือมพรรณรายล้อมรอบทุก ๆ วิมาน มีสวนอุทยานและสระโบกขรณีอันเป็นทิพย์อยู่หลากหลาย ที่ควรจะจำไว้ง่าย ๆ ก็คือในสวรรค์ชั้นยามานี้ ไม่ปรากฏมีพระอาทิตย์และพระจันทร์เลย เพราะอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์และพระจันทร์มากมายนัก เทพยดาทั้งหลายย่อมแลเห็นแสงสว่าง ด้วยรัศมีแห่งแก้วและรัศมีที่ออกมาจากกายตัวแห่งเทพเจ้าเหล่านั้นเองการที่จักรู้วันและคืนได้นั้นย่อมรู้ได้จากบุปผชาติดอกไม้ทิตย์ ซึ่งมีอยู่ในสรวงสวรรค์ชั้นยามานั่นเองเป็นสัญลักษณ์ ถ้าหากว่า เห็นดอกไม้นั้นหุบลง ก็เป็นนิมิตแสดงว่า เป็นเพลาราตรี

เหล่าเทพผู้มีบุญทั้งหลาย ผู้ได้เคยก่อสร้างกองการกุศลเอาไว้ และเดชะแห่งกุศลนั้นส่งให้มาอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ย่อมมีองคาพยและหน้าตางดงามรุ่งเรืองหนักหนา มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างผาสุก และจะชื่นบานสุขสำราญเทพหฤทัย เสวยสมบัติอันเป็นทิตย์ตามสมควรแก่อัตภาพ ส่วนสมเด็จท่านท้าวสุยามเทวาธิราช ผู้ทรงเป็นจอมเทพเจ้าปกครองสวรรค์ชั้นนี้เล่า พระองค์ก็ทรงมีน้ำพระทัยประกอบไปด้วยกุศลยุติธรรม ปกครองเหล่าเทพเจ้าให้ได้รับความชุ่มฉ่ำเย็นได้เสวยสุขสุดที่จะพรรณนา


 
ทางไปสวรรค์ชั้นยามา

หากจะมีปัญหาว่า  
การที่จักได้มีโอกาส ไปอุบัติเกิดเป็นเทพเจ้า เสวยทิพย์สมบัติเป็นสุขอยู่ ณ แดนสวรรค์ชั้นยามานี้ จักต้องคำประการใดบ้าง
คำวิสัชนาก็มีว่า  ต้องอุตส่าห์พยายามสร้างเสบียงกล่าวคือ บุคคล ต้องเป็นผู้มีกมลสันดานหนาแน่นไปด้วยกุศลสมภาร ไม่หวั่นไหวง่อนแง่นในการบำเพ็ญ เช่น ให้ทานและรักษาศีลเป็นอาทิ ทั้งนี้ ก็โดยมีพระบาลีชี้ทางไปสู่แดนสวรรค์ชั้นยามาไว้ในสูตรต่าง ๆ ดังต่อไปนี้


 
ทานสูตร

ดูกรสารีบุตร ! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า

 
"การให้ทาน เป็นการกระทำที่ดี"

(แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า)

 
"บิดามารดา ปู่ ตา ยาย เคยให้
เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี"

เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นยามา


 
 
ปุญญกิริยาวัตถุสูตร

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ! บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวะเลย เมื่อถึงเก่ากาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ! ท้าวสุยามเทพบุตรจอมเทพในชั้นยามานั้น ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ท้าวเธอจึงทรงเจริญเรืองก้าวหน้าล่วงเหล่าเทวดาชั้นยามาสวรรค์โดนฐานะ ๑๐ ประการ คือ
๑. อายุทิพย์
๒. วรรณทิพย์
๓. สุขทิพย์
๔. ยศทิพย์
๕. อธิปไตรทิพย์
๖. รูปทิพย์
๗. เสียงทิพย์
๘. กลิ่นทิพย์
๙. รสทิพย์
๑๐. โผฏฐัพะทิพย์


 
 
สังคีติสูตร

บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าวน้ำ ผ้าผ่อน ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่นั่ง ที่พัก ที่อาศัย และสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แก่ประทีป ให้เป็นทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนให้ไปโดยเขาได้ฟังมาว่า "พวกเทพเจ้าเหล่ายามาสวรรค์ เป็นเทพที่มีอายุยืน มีวรรณะผ่องใสงดงาม มากไปด้วยความสุข" ดังนี้แล้ว เขาจึงรำพึงอย่างนี้ว่า
โอหนอ ! เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพวกเทพเจ้าเหล่ายามาสวรรค์เถิด

เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขานั้นอมไปในสิ่งที่ต่ำ มิได้อบรมเพื่อคุณเบื้องสูง อย่างนี้ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ชั้นยามานั้น ก็ข้อนี้แล เรากล่าวสำหรับบุคคลผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับบุคคลผู้ทุศีลผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของบุคคลผู้มีศีล ย่อมสำเร็จลงได้ เพราะเป็นของบริสุทธิ์

จากพระสูตรต่าง ๆ ซึ่งยกมาอ้างไว้แต่โดยสังเขปนี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะเข้าใจได้เป็นอย่างดีแล้วว่า การที่จักได้มีโอกาสไปอุบัติเกิดเป็นเทพยดา ณ แดนสวรรค์ชั้นยามานี้ จักต้องมีปฏิปทาเดินไปตามวิถีทางใด ต่อไปนี้ จักนำเอาชีวประวัติแห่งมนุษย์ ผู้ตายไปผุดเกิดเป็นเทพยดาในสวรรค์ชั้นยามาเทวโลกมาเล่าให้ท่านผู้ยินดีในสุตะได้รับฟังไว้ดังนี้


 
ยามาเทพบุตร

ได้สดับมาว่า  กาลเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้าแห่งเราทั้งหลาย ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวนาราม ใกล้เมืองราชคฤห์มหานคร ครั้งนั้น ยังมีบุตรผู้ค่อนข้างจะมีทรัพย์ผู้หนึ่ง มีจิตเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอันมาก ตั้งอยู่ในภูมิอุบาสก
ผู้เชื่อมั่น ได้อุทิศถวายอาหารกระทำเป็นสังฆทานแก่พระภิกษุสงฆ์วันละ ๔ รูปทุก ๆ วัน

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ประตูบ่นแห่งอุบาสกนั้น ได้ถูกปิดไว้โดยเกรงคนร้ายหัวขโมยจะเข้าไปในเพลากลางคืน พออรุณรุ่งคนในบ้านยังมิทันจะตื่นมาเปิดประตู พระภิกษุทั้งหลายผู้ได้รับนิมนต์ให้มารับสังฆทาน เมื่อถึงเห็นประตูบ้านนั้นปิดอยู่จะเข้าไปมิได้แล้ว จึงถามภรรยาตนด้วยใจเป็นห่วงว่า

"ดูกรเจ้า ! เจ้าถวายสังฆทานแก่พระเจ้าทั้งหลายแล้วหรือ

"วันนี้มิได้ถวาย เพราะพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายมิได้เข้ามา" ภรรยาตอบ

"อ้าว เป็นอะไรไปเล่า เหตุใดพระผู้เป็นเจ้าจึงมิได้เข้ามา" เขาถวายขึ้นด้วยความสงสัย

ฝ่ายภรรยาจึงตอบว่า  "ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน เป็นแต่สันนิษฐานได้ว่า เมื่อคืนนี้เราปิดประตูใหญ่หน้าบ้านด้วยเกรงว่าโจรร้ายจะเข้ามาในเพลาค่ำคืน และวันนี้ก็ต้องตื่นสายกันทุกคน พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย คงจะพากันมาแต่เช้าตาม วันนี้ตนขาดบุญไปมิได้ถวายสังฆทาน อีกประการหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ก็คงมิได้ฉันภัตตาหารเคยเมื่อเห็นประตูหับอยู่ เข้ามิได้ ก็น่าที่จะกลับไปเป็นแน่แท้"

อุบาสกได้ฟังภรรยาว่าดังนั้น ก็บังเกิดความสังเวชสลดใจนัก เพราะตนมีสักดานสะอาดมากไปด้วยศรัทธา ครุ่นคิดกังวลใจอยู่แต่ว่า อันเป็นการขาดประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน เพราะเหตุการณ์จัญไรเพียงนิดเดียวคิดดังนี้แล้วจึงเที่ยวไปว่าจ้างบุรุษคนหนึ่ง ให้ทำหน้าที่เป็นยามผู้รักษาประตู แล้วสั่งว่า

"ท่านจงนั่งรักษาทวารอยู่ที่นี่ ถ้าเห็นพระผู้เป็นเจ้าที่เราอาราธนาไว้ท่านมาเมื่อใด จงนิมนต์ท่านให้เข้าไปในบ้าน และช่วยจัดแจงปูลาดอาสนะ กระทำวัตรปฏิบัติพระภิกษุทั้งหลายด้วยความเอาใจใส่เถิด จะเกิดเป็นบุญแก่ตัวท่านเองด้วยเป็นนักหนา

"สาธุ" บุรุษผู้รับหน้าที่เป็นทวารบาลคนเฝ้าประตูนั้น ประณมมือขึ้นรับคำสั่งด้วยดี เพราะตนเป็นคนมีสันดานดีไม่หัวดื้อ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็อยู่รักษาประตูบ้านอุบาสกผู้ใจบุญ เมื่อเห็นพระภิกษุสงฆ์มา ก็ทำการต้อนรับด้วยคารวะดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง นิมนต์ให้เข้าไปในบ้านแล้วช่วยจักแจงกิจต่าง ๆ ในพิธีการถวายสังฆทานจนเสร็จสิ้น กระทำวัตรปฏิบัติอยู่เนื่อง นานมาได้มีโอกาสร่วมฟังพระธรรมเทศนา ในสำนักแห่งพระภิกษุทั้งหลายผู้มารับสังฆทานในบ้านอุบาสกนั้น ก็บังเกิดศรัทธาเชื่อมั่นในกรรมและผลแห่งกรรม ตั้งอยู่ในไตรสรณาคมน์และศีลห้า เฝ้าอุตส่าห์ปฏิบัติแก่พระสงฆ์ทั้งหลายในบ้านนายจ้างอุบาสกนั้น

ครั้นกาลต่อมา เมื่ออุบาสกผู้ใจบุญนั้นดับขันธ์ถึงแต่ความชีพิตักษัยแล้ว เพราะเหตุที่เขามีใจผ่องแผ้ว อบรมบ่มด้วยกุศลธรรมมากมาย มีความเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา พยายามสั่งสมแต่คุณธรรมความดีตลอดชีวิต กรรมดีอันสูงส่งนั้นจึงผลิตผลเป็นแรงส่งผลักดันให้เขาได้มาเกิดเป็นเทพเจ้าชั้น ณ เบื้องสวรรค์ชั้นยามานี้มีรัศมีรุ่งเรืองโสภาพรรณ แวดล้อมไปด้วยเทพบริวาร สถิตอยู่ ณ ปราสาทพิมานอันวิจิตรตระการตา ได้รับความผาสุกด้วยการเสวยทิพย์สมบัติอันประเสริฐนักหนาตลอดเวลาได้รับแต่อารมณ์อันเลิศทุกคืนวัน

ต่อมาอีกไม่ช้าไม่นาน ทวารบาลนายประตูนั้น ก็กระทำกาลกิริยาตายไปตามนายจ้าง แต่เพราะที่ตนมีบุญบารมีน้อยกว่า จึงไม่สามารถที่จะไปอุบัติเกิดในแดนสวรรค์ชั้นสูงเช่นเดียวกับนายได้

จะอย่างไรก็ดี ด้วยเหตุที่ได้อนุโมทนาและกระทำไวยาวัจกรรมการขวนขวายให้ความสะดวกแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลทั้งมีจิตศรัทธาเชื่อมั่นในไตรสรณาคมน์และศีลที่ตนรักษา ตั้งแต่เขาได้มาทำงานในบ้านอุบาสกนั้น ก็มีทานนิสงส์นักหนา พอเขาดับขันธ์ถึงแก่มรณกรรม เดชะกุศล นั้นก็ทำหน้าที่เป็นแรงผลักดัน ให้เขามาอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐ สถิตอยู่ ณ ปราสาทพิมาน ในดาวดึงส์สวรรค์เทวโลก

คราวหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถรเจ้า เที่ยวสัญจรไปในดาวดึงส์สวรรค์เทวโลก ด้วยอำนาจแห่งพระอริยฤทธิ์ แลไปเห็นวิมานอันงามตระการแห่งเทพบุตร อดีตบุรุษเฝ้ายามประตูบ้านอุบาสกผู้เพิ่งตายนั้นเข้า พระผู้เป็นเจ้าองค์อรหันต์ จึงเข้าไปถามว่า

"วิมานนี้มีความสูงยิ่งนัก ประกอบไปด้วยเสาล้วนแล้วไปด้วยแก้วมณีมีพื้นเรียบไปด้วยแผ่นกระดาษทองอันรุ่งเรืองงดงามปรากฏ ตัวท่านผู้เป็นเจ้าของวิมานปรารถนาจักได้ซึ่งทิพย์อาหารอันใด สิ่งของทั้งหลายอันเป็นทิพย์ ก็บังเกิดมีดังความปรารถนาของท่าน

อีกประการหนึ่ง วิมานนี้กึกก้องไปด้วยเสียงดุริยางค์ดนตรีทั้งหลาย รสกามคุณ ๕ ประการ ก็มีอยู่มากมายนางฟ้าทั้งหลายมีเครื่องประดับแล้วไปด้วยทอง บางนางก็ขับร้อง บางนางก็ฟ้อนรำ ยังน้ำจิตของท่านให้ยินดี สมบัติแลรัศมีอันรุ่งเรืองอยู่ ทั้งเกิดขึ้นเพราะบุญอะไร

ดูกรเทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก เราจักขอถามท่าน เมื่อท่านเป็นมนุษย์ ท่านได้ก่อสร้างกองการกุศลอย่างไร จะเป็นเพราะให้ท่านเป็นการใหญ่ หรือว่าตั้งใจรักษาเบญจศีลหรือตั้งใจสมาทานอุโบสถศีลอย่างไร สมบัติอันเป็นทิพย์ทั้งหลายจึงได้บังเกิดมีทั้งนี้ ทำให้ท่านรุ่งเรืองไปด้วยยศและรัศมีอันมากมายเห็นปานนี้"

"อโห ! พระเดชพระคุณพระมหาโมคคัลลานะ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ" 

เทพบุตรออกนามพระเถรเจ้า พร้อมกับถวายนมัสการด้วยความเคราพเป็นล้นพ้นดุจครั้งที่ตนยังเป็นมนุษย์ แล้วกราบเรียนต่อไปว่า

"ข้าพเจ้านี้หรือ คือบุรุษชราผู้เฝ้าประตูบ้านแห่งอุบาสกในเมืองราชคฤห์ผู้เป็นนาย ตายแล้วได้มาเกิดในดาวดึงส์สวรรค์นี้ ซึ่งมีอายุประมาณ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะนับปีในมนุษย์แล้ว ๑๐๐ ปีจึงเป็นวันหนึ่งกับคืนในดาวดึงส์สวรรค์นี้ ข้าพเจ้าจักดำรงอยู่ในที่นี้ตลอด ๑,๐๐๐ ปีทิพย์

การที่ข้าพเจ้ามีอายุทิพย์เป็นเวลานาน และมีวิมานสมบัติอันรุ่งเรือง ดังที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นอยู่นี้ มิใช่ว่าข้าพเจ้าจักได้บริจาคทานแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลเป็นการใหญ่นั้นหามิได้ โดยที่แท้ ข้าพเจ้าผู้ซึ่งเป็นคนแก่แลยากจน ได้ทำบุญกุศลด้วยปากและน้ำใจของข้าพเจ้าเอง คือว่า เมื่อข้าพเจ้าเป็นคนเฝ้าทวารบ้านอุบาสกผู้เป็นนายอยู่นั้น ครั้นเห็นพระผู้เป็นเจ้ามาถึง ข้าพเจ้าก็กล่าวปราศรัยด้วยน้ำใจรักในพระสงฆ์เป็นอย่างยิ่งว่า

พระผู้เป็นเจ้ามาแล้วหรือ
พระผู้เป็นเจ้าจงนั่งเหนืออาสนะนี้เถิด
พระผู้เป็นเจ้าค่อยสบายดีอยู่หรือ
พระผู้เป็นเจ้าหาโรคมิได้แล้วหรือ

กล่าวปราศรัยไปดังนี้ ด้วยน้ำจิตยินดีเลื่อมใสเต็มไปด้วยคารวะทุกขณะที่ได้พบพระภิกษุสงฆ์ แล้วช่วยจัดแจงขวนขวายในการถวายสังฆทานแห่งท่านอุบาสก ในที่สุดได้ร่วมฟังพระธรรมเทศนา ถือเอาไตรสรณาคมน์และศีลแลที่พึ่งเมื่อถึงแก่กาลกิริยาแล้วจึงได้มาอุบัติเกิด ในที่นี้ นะพระคุณเจ้าผู้เจริญ"

พระมหาโมคคัลลานเถรเจ้า ได้สดับดังนั้นแล้ว ก็กล่าวคำอำลา เพื่อท่องเที่ยวไปสถานที่อื่นต่อไป จนพอสมควรแก่กาลแล้ว จึงได้กลับมาสู่มนุษย์โลกเรานี้

สรุปความว่า สรวงสวรรค์ชั้นยามานี้ เป็นแดนแห่งความสุขที่สถิตอยู่แห่งทวยเทพทั้งหลาย อันมีสมเด็จท้าวสุยามเทวาธิราชเป็นผู้ปกครองชาวฟ้าชั้นนี้ ล้วนมีแต่ความสุขไม่มีความลำบาก มีชีวิตอยู่อย่างสำราญชื่นบานด้วยการเสวยทิพย์สมบัติทุกทิพาราตรีกาล เพราะความบันดาลแห่งบุญกุศล ที่ตนได้ก่อสร้างเอาไว้แต่ปางก่อนย้อนมาให้ผล จึงเป็นเหตุให้ตนได้รับความสุขอันเป็นทิพย์เห็นปานฉะนี้

ดังนั้น ท่านผู้มีปัญญาประกอบไปด้วยศรัทธาเชื่อมั่นในพระบวรพุทธศาสนา เมื่อมีความปรารถนาใคร่จะได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพยดา เสวยทิพยสมบัติอันเป็นสุขอยู่ในสรวงสวรรค์ชั้นนี้ก่อนที่จักตายไปจากโลก ควรที่จักรีบเร่งกระทำความดี พยายามบำเพ็ญทานรักษาศีลเป็นนิตย์ มีจิตขวนขวายประพฤติตามธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมิใช่แกล้งกระทำความดี แต่ทำด้วยดวงฤดี อันบริสุทธิ์ผ่องใส เมื่อกองการกุศลที่ตนก่อสร้างไว้มีพลังเพียงพอแล้วก็จักเป็นแรงส่งผลักดัน ให้ได้ไปอุบัติเกิดเทพยดา ณ ยามาสวรรค์แดนแห่งความสุขนี้อย่างแน่นอน
 
ผู้แสดงความคิดเห็น พระชาญวิทย์ ธมฺมวโร วันที่ตอบ 2010-01-27 09:45:09 IP : 58.147.55.136

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น